
Swing Trading กลยุทธ์การทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคา โดยถือครองออเดอร์จำนวนหลายวัน ไปตลอดจนหลายสัปดาห์ กลยุทธ์นี้เหมาะกับใครและสร้างผลดีอย่างไร ไปอ่านกันครับ!🥳
ทำความรู้จักกลยุทธ์ Swing Trading กลยุทธ์ยอดนิยมที่เหล่าเทรดเดอร์เลือกใช้ในการเทรด เพราะมีจุดสมดุลที่ลงตัวระหว่างการเทรดระยะสั้นและระยะยาว การประสบความสำเร็จใน Swing Trading ต้องอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก ร่วมกับการบริหารเงินทุนที่ดี เพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการถือครองสถานะ
*หมายเหตุ: การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง และฟอเร็กซ์ถือเป็นหนึ่งในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ ทั้งนี้ บทความนี้เป็นเพียงการให้ความรู้เท่านั้น
Swing Trading คืออะไร?
Swing Trading คือ การเทรดที่ใช้เวลาตั้งแต่ระยะสั้นไปจนถึงระยะกลาง อาจเป็นการถือครองออเดอร์ไว้หลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ขึ้นอยู่กับรูปแบบที่เทรดเดอร์ถนัด การเทรดประเภทนี้ทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในตลาด Forex ผ่านการนำเทคนิคการวิเคราะห์เข้ามาช่วยในการมองหาโอกาสทำกำไรและบางครั้งก็ผสมผสานกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานร่วมด้วย โดยการเทรดประเภทนี้จะมี 2 จุดที่คุณต้องทำความเข้าใจ คือ Swing High และ Swing Low ครับ
Swing High และ Swing Low คืออะไร?
จุด Swing High และจุด Swing Low มีความสำคัญอย่างมากในการเทรดแบบ Swing Trading เพราะทั้ง 2 จุดนี้ จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุแนวโน้มของตลาดได้ โดยทั้ง 2 จุด มีความหมาย ดังนี้
- Swing High
คือ จุดสูงสุดบนกราฟราคาที่เกิดขึ้นระหว่างการเคลื่อนไหวของราคา เมื่อดูบนกราฟ Swing High จะเห็นเป็นจุดยอดที่มีแท่งเทียนด้านซ้ายและขวาต่ำกว่าจุดนั้น
- Swing Low
คือ จุดต่ำสุดบนกราฟราคาที่เกิดขึ้นระหว่างการเคลื่อนไหวของราคา เมื่อดูบนกราฟ Swing Low จะมีลักษณะคล้ายหุบเขา คือ มีแท่งเทียนด้านซ้ายและขวาสูงกว่าจุดนั้น
. . . . . . . . . . . 🐶 . . . . . . . . . . .
หาจุด Swing High และ Swing Low ยังไงให้แม่นยำ?
คุณสามารถหาจุด Swing High และ Swing Low ให้แม่นยำมากยิ่งขึ้นได้ผ่านกฎ 3 แท่งครับ ซึ่งกฎดังกล่าวจะช่วยให้คุณหาจุด Swing ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยวิธีดังกล่าวสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
วิธีที่ 1 มองแท่งเทียนให้เป็นชุด

ขั้นตอนแรกของการหาจุด Swing High และ Swing Low คือ คุณต้องมองแท่งเทียนให้เป็นชุด ชุดละ 3 แท่งตามภาพ
วิธีที่ 2 การหาจุด Swing High

วิธีการหา Swing High นั้น ไม่ยากแบบที่หลายคนคิดครับ ก่อนอื่นอยากให้มองแท่งเทียนเป็น 3 แท่ง จากนั้นทำความเข้าใจรูปแบบของ Swing High คือ ให้สังเกตแท่งเทียนที่อยู่ตรงกลางที่จะสูงกว่าแท่งเทียนทั้งสองแท่งเสมอ จุดนั้นแหละครับเรียกว่า Swing High
วิธีที่ 3 การหาจุด Swing Low

การหาจุด Swing Low ก็มีหลักการแบบเดียวกันครับ คือ แท่งเทียนตรงกลางจะต่ำกว่าแท่งเทียนทั้งสองข้าง และจุดนั้นจะเรียกว่า จุด Swing Low
เห็นไหมครับว่า การระบุจุด Swing High และ Swing Low นั้น ไม่ได้ยากอย่างที่ทุกคนคิด เพียงแต่พี่โบ้อยากให้สังเกตกฎ 3 แท่งที่บอกไปให้ดี เพราะมันจะมีประโยชน์ต่อคุณแน่นอนครับ!
พื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สาย Swing Trader ควรรู้
พื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สาย Swing Trader ควรรู้มีอยู่ด้วยกัน 5 พื้นฐาน ดังนี้
1. การสังเกตแนวโน้ม
การระบุแนวโน้มของราคา (แนวโน้มขาขึ้น, แนวโน้มขาลง หรือ Sideways) รวมถึงการสังเกต Higher High/Higher Low ในแนวโน้มขาขึ้น หรือ Lower High/Lower Low ในแนวโน้มขาลง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจหาจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อหรือขาย
2. แนวรับและแนวต้าน
แนวรับแนวต้านเป็นจุดสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องใช้ระบุจุดเข้าซื้อขายที่เหมาะสม เช่น มักใช้แนวรับเป็นจุดเข้าซื้อในแนวโน้มขาขึ้น และใช้แนวต้านเป็นจุดเข้าขายในแนวโน้มขาลง
3. รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา
การเข้าใจรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา หรือ Price Pattern เป็นเครื่องมือที่ช่วยคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรูปแบบของกราฟราคาเป็นตัวบ่งชี้ทางจิตวิทยาตลาดที่สะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้เทรดในตลาด และพฤติกรรมเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นซ้ำในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
4. ทำความเข้าใจรูปแบบของแท่งเทียน
การวิเคราะห์รูปแบบของแท่งเทียนจะช่วยระบุจุดเข้าเทรดที่มีโอกาสทำกำไรสูง อีกทั้ง แท่งเทียนยังช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตั้งจุด Stop Loss ได้อย่างแม่นยำและเหมาะสมอีกด้วยครับ
5. ตัวชี้วัดทางเทคนิคหรืออินดิเคเตอร์
อินดิเคเตอร์เป็นเครื่องมือที่ช่วยยืนยันการตัดสินใจจากการวิเคราะห์ราคาและความเคลื่อนไหวของตลาด รวมถึงช่วยให้เทรดเดอร์สามารถประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ระบุจุดเปลี่ยนที่มีโอกาสทำกำไรสูง โดยอินดิเคเตอร์ที่เทรดเดอร์นิยมใช้ในการเทรดแบบ Swing Trading มีดังนี้
- ตัวชี้วัดแนวโน้ม: Moving Averages, MACD และ ADX
- ตัวชี้วัดโมเมนตัม: RSI, Stochastic และ Williams %R
- ตัวชี้วัดความผันผวน: Bollinger Bands และ ATR
- การหา Divergence ระหว่างราคาและตัวชี้วัด
เทรดแบบ Swing Trading ใช้ Time Frame เท่าไหร่ดี?
สำหรับการเทรดแบบ Swing Trading ในตลาด Forex นั้น Time Frame ที่พี่โบ้แนะนำจะอยู่ในช่วง H4 (4 ชั่วโมง) และ D1 (1 วัน) เพราะ Time Frame ดังกล่าวจะช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพรวมของตลาดในช่วงเวลาที่ยาวขึ้นและวิเคราะห์แนวโน้มหลัก รวมถึงความผันผวนของราคาได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ทำให้ Time Frame ดังกล่าว เหมาะกับการ Swing Trading ครับ โดยแต่ละ Time Frame ก็จะมีจุดเด่นที่ต่างกัน ดังนี้
- การใช้ Time Frame H4 จะช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพการเคลื่อนไหวของราคาในระยะกลางได้ชัดเจน และทำให้สามารถระบุจุดเข้า-ออกได้แม่นยำยิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงจากการเจอสัญญาณหลอกที่มักพบบ่อยใน Time Frame ที่เล็กกว่า
- การใช้ Time Frame D1 จะช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพรวมของแนวโน้มหลักในระยะยาวได้ชัดเจน และทำให้เทรดเดอร์เข้าใจทิศทางหลักของตลาด รวมถึงระบุแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญได้ดีมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เทรดเดอร์ยังสามารถใช้การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multiple Time Frame Analysis) โดยใช้กราฟ H4 และ D1 ร่วมกัน เพื่อเสริมจุดแข็งของแต่ละกรอบเวลาเข้าด้วยกัน เพราะวิธีนี้จะช่วยให้เทรดเดอร์ได้สัญญาณการเทรดที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยอาจจะใช้ D1 เพื่อกำหนดทิศทางหลัก และใช้ H4 เพื่อหาจังหวะเข้าเทรดที่เหมาะสม เพื่อให้การเทรดเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดครับ
การวิเคราะห์แนวโน้มราคาจากเทคนิคการวิเคราะห์พื้นฐาน

พี่โบ้จะขอแทนจุดสีเขียวเป็น Swing High และจุดสีแดงเป็น Swing Low จากภาพรวมของกราฟจะเห็นได้ว่าเป็นแนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน เนื่องจากเห็นทั้ง Lower High สังเกตได้จาก Swing High ที่ต่ำลงเรื่อย ๆ และ Lower Low จุด Swing Low ที่ต่ำลงเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องเช่นกัน กรณีนี้เทรดเดอร์ควรพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
1. เน้นการเทรดตามแนวโน้ม
ในช่วงแนวโน้มขาลงที่ปรากฏชัดเจนดังภาพ เทรดเดอร์ควรหาโอกาสเปิดสถานะ Sell (Short) แทนที่จะพยายามเปิด Buy (Long) สวนแนวโน้ม
2. มองหาจุดเข้าเทรด
ควรมองหาโอกาสเข้า Sell เมื่อราคาขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญ
3. ยืนยันสัญญาณก่อนเข้าเทรด
รอให้มีสัญญาณยืนยันว่าราคากำลังจะกลับตัวลงจากแนวต้าน เช่น รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาลง (Bearish Reversal Patterns) หรือสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ที่บ่งชี้ว่าราคาอยู่ในสภาวะ Overbought
ความแตกต่างของ Day Trading กับ Swing Trading
ลักษณะ | Day Trading | Swing Trading |
เวลาในการถือออเดอร์ | ▪ ภายใน 1 วัน | ▪ หลายวันหรือหลายสัปดาห์ |
จำนวนการเทรดต่อวัน | ▪ หลายครั้งใน 1 วัน | ▪ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือในช่วงเวลาที่เหมาะสม |
การทำกำไร | ▪ การเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้น | ▪ การเคลื่อนไหวของราคาตามแนวโน้มหลัก |
ความเสี่ยง | ▪ สูง เพราะเล่นกับการเคลื่อนไหวที่เร็วและรุนแรง | ▪ สูงเช่นกัน แต่มีเวลาให้จัดการความเสี่ยง |
เวลาในการติดตามกราฟ | ▪ ติดตามกราฟตลอดทั้งวัน | ▪ ไม่ต้องติดตามกราฟตลอดเวลา |
ประเภทของการวิเคราะห์ | ▪ Technical Analysis | ▪ Technical Analysis ▪ Fundamental Analysis |
ข้อดี | ▪ ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวระยะสั้น | ▪ มีความยืดหยุ่นในการเทรด ▪ เหมาะกับผู้ที่มีเวลาจำกัด |
ข้อเสีย | ▪ ต้องดูกราฟทั้งวัน อาจทำให้เกิดความเครียดสูง | ▪ มีความเสี่ยงจากข่าวที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีการถือออเดอร์ระยะยาว |
เหมาะกับใคร | ▪ ผู้ที่มีเวลาว่างตลอดทั้งวัน ▪ ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว | ▪ ผู้ที่มีเวลาจำกัดในการเทรด |

*หมายเหตุ: การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ
. . . . . . . . . . . 🐶 . . . . . . . . . . .
ข้อดี-ข้อเสียของการ Swing Trading
ข้อดีของ Swing Trading
- มีโอกาสทำกำไรจากแนวโน้มระยะยาว
- สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นในแนวโน้มหลักของตลาดได้
- เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเฝ้ากราฟได้ตลอดเวลาทำให้เทรดเดอร์สามารถจัดสรรเวลาการติดตามกราฟได้ด้วยตนเอง
ข้อเสียของ Swing Trading
- อาจมีความเสี่ยงจากการถือออเดอร์ข้ามวัน
- ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในหลายด้าน นอกจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้ว Swing Trader ต้องสามารถใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ได้ด้วย เพราะในบางครั้งการเคลื่อนไหวของราคาอาจได้รับผลกระทบจากข่าวหรือตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ
- ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ เนื่องจากต้องถือออเดอร์หลายวันถึงหลายสัปดาห์ ดังนั้น การเห็นผลลัพธ์ (กำไรหรือขาดทุน) จะใช้เวลานานกว่า Day Trading ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
สรุปเกี่ยวกับกลยุทธ์ Swing Trading
จากที่กล่าวมากลยุทธ์ Swing Trading เป็นกลยุทธ์ทำกำไรระยะสั้นถึงปานกลาง โดยทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา และวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดผ่านการระบุจุด Swing High และ Swing Low ทำให้การเข้าใจโครงสร้างนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุทิศทางหลักของตลาดและวางแผนการเทรดตามแนวโน้มได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี การเทรดแบบ Swing Trading ก็มีความเสี่ยงที่เทรดเดอร์ต้องเผชิญแบบการเทรดรูปแบบอื่นเช่นกัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่พี่โบ้ไม่อยากให้ทุกคนมองข้าม คือ การตั้ง Stop Loss และกำหนดอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ให้ดี เพราะการลงทุนในตลาดที่ผันผวนตลอดเวลาก็เหมือนการเดินเรือท่ามกลางพายุคลั่ง ที่ต้องอาศัยทั้งทักษะ ประสบการณ์ และการวางแผนที่ดีครับ
*หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงบทความที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนให้ละเอียดก่อนเริ่มลงทุน
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้
พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page