War Crisis : วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน และแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

Table of Contents
วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน เเละเเนวโน้มการขึ้น 'อัตราดอกเบี้ย'

วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน และการขึ้นดอกเบี้ยของ FED หากเกิดขึ้นพร้อมกับจะทำให้ตลาดลงทุนผันผวนอย่างมาก เป็นผลมาจากผลตอบแทนในสินทรัพย์เสี่ยงลดลง

ก่อนหน้านี้ ตลาดการเงินมีความวิตกกังวลกับการขึ้น ‘อัตราดอกเบี้ย’ ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) แต่ ณ ปัจจุบัน มีอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่เข้ามาสร้างความปั่นป่วนเพิ่มขึ้นคือ วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน (สาเหตุ) ซึ่งตอนนี้รัสเซียได้ส่งกองกำลังส่วนหนึ่งเข้าล้ำพื้นที่บางส่วนในยูเครนแล้ว สถานการณ์นี้สร้างความกังวลไปยังทั่วโลก โดยเฉพาะมหาอำนาจตะวันตกอย่างสหรัฐฯ ชาติยุโรป และองค์การ NATO

ก่อนอื่นคงต้องมองออกเป็น 2 เหตุการณ์ คือ การขึ้น ‘อัตราดอกเบี้ย’ ของ FED ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ตลาดสามารถคาดการณ์ และรับรู้ได้มาโดยตลอด เหตุการณ์ที่สอง คือ วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน เป็นประเด็นที่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ หรือคาดการณ์ได้เลยว่า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งการที่ 2 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นพร้อมกันทำให้ตลาดการเงินผันผวนเป็นอย่างมาก และอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอีกด้วย ที่สำคัญสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ณ ตอนนี้ เป็นขั้นที่มีความตึงเครียดค่อนข้างสูง ล่าสุดประธานาธิบดี แถลงการณ์ว่า หลังจากสั่งการให้กองกำลังบุกเข้าพื้นที่บางแห่งในยูเครนแล้ว ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

การตัดสินใจของประธานาธิบดีรัสเซียในครั้งนี้ ทำให้ชาติตะวันตกตัดสินใจคว่ำบาตรรัสเซีย โดยมุ่งไปที่ตลาดการเงิน ทำให้รัสเซียเริ่มได้รับผลกระทบผ่านค่าเงินที่อ่อนลงอย่างมาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ที่สำคัญราคาพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันดิบมีอัตราเร่งตัวสูง ล่าสุดเฉียดทะลุ 100 ดอลลาร์/บาเรนแล้ว แน่นอนว่า การที่ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นจะต้องเกี่ยวข้องกับ ‘เงินเฟ้อ’

นักวิเคราะห์มองว่า ด้านของ FED ที่ได้ส่งสัญญาณมาระยะหนึ่งแล้วว่า จะมีการขึ้นดอกเบี้ยจะยังคงมาตรการเดิมไว้ โดยจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในเดือน มี.ค. ที่ 0.5% เนื่องจากเป็นครึ่งแรกของปี และหากครึ่งปีหลังเศรษฐกิจได้รับแรงกระทบจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน มากยิ่งขึ้น FED ค่อยเริ่มผ่อนความรุนแรงในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยช่วงนั้นก็ย่อมได้ ที่สำคัญผลกระทบหลังการที่รัสเซียบุกยูเครนกว่าจะกระทบถึงสหรัฐฯ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 เดือน และ FED ต้องตัดสินใจที่จะรักษาเศรษฐกิจในประเทศตนเองไว้ก่อน

สำหรับด้านของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก่อนหน้านี้ได้แถลงมาตรการชัดเจนว่า จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี และตลาดมีการรับรู้ (Priced in) ถ้าหากว่า เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากวิกฤตในครั้งนี้อย่างรุนแรง ก็สามารถปรับเปลี่ยนมาตรการใหม่ได้ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ดอกเบี้ยยังจะอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอีกนาน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น และความไม่แน่นอนด้านการเมือง จะทำให้ผลตอบแทนสินทรัพย์เสี่ยงมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การลงทุนในตอนนี้ควรลงทุนลักษณะ Selective buy และสินทรัพย์ปลอดภัยเป็นหลัก แต่แนะนำเป็นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากยังไม่สามารถคาดการณ์ผลกระทบในระยะยาวได้

Sourceทีมงาน Traderbobo

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่: สาระน่ารู้

อ่านรีวิวโบรกเกอร์เพิ่มเติมได้ที่Review Broker

Social Share
Facebook
Twitter
Most Popular